ประวัติการก่อตั้ง

โรงเรียนประชาอุทิศเริ่มก่อตั้งเมื่อปีการศึกษา ๒๕๑๘ เนื่องจากการเพิ่มประชากรในกรุงเทพมหานคร ในระยะนั้นนายประมวล รุจเสรี เป็นนายอำเภอเขตบางเขน(เขตยังไม่ได้แยกขยาย) ได้มอบหมายให้นายเฉลิม มณีสวัสดิ์ ผู้ใหญ่บ้านหมู่ ๔ แขวงสีกัน เป็นผู้ติดต่อสถานที่จากผู้มีจิตศรัทธาเพื่อบริจาคให้แก่กรุงเทพมหานครโดยไม่คิดมูลค่า นายเฉลิม มณีสวัสดิ์, นายศิริ น้อยไม้และคณะได้พบนายเหรียญและนางเกิด จันทาบ เจ้าของโฉนดเลขที่ ๒๔๙๓๖ หมู่ ๔ แขวงสีกัน ได้ตระหนักถึงความสำคัญของการศึกษา จึงมอบที่ดินจำนวน ๕ ไร่ ๑ งาน ๔๙ ตารางวา มูลค่า ๖๐๐,๐๐๐ บาท (หกแสนบาทถ้วน) ให้แก่กรุงเทพมหานครผ่านนายเฉลิม มณีสวัสดิ์ และนายศิริ น้อยไม้ เมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๑๘

ปีการศึกษา ๒๕๑๙ กรุงเทพมหานครได้จัดสรรงบประมาณหมวดที่ดิน และสิ่งก่อสร้างจำนวน ๑,๘๐๐,๐๐๐ บาท (หนึ่งล้านแปดแสนบาทถ้วน) สร้างอาคารแบบ ร.ร. ๘๐ จำนวน ๑ หลัง ขนาด ๑๒ ห้องเรียน ดำเนินการก่อสร้าง โดยบริษัทสุขเกษมก่อสร้าง การก่อสร้างได้แล้วเสร็จ เมื่อวันที่ ๓๐ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๒๐

ปีการศึกษา ๒๕๒๐ ได้เปิดรับนักเรียนชั้นประถมศึกษาปีที่ ๑–๗ และฝากสถานที่เรียนไว้ที่โรงเรียนวัดดอนเมือง (ทหารอากาศบำรุง) ชั่วคราว ทางราชการได้แต่งตั้ง นายสุขุม ปุญญาภินันท์ ผู้ช่วยครูใหญ่โรงเรียนวัดหลักสี่ (ทองใบทิวารีวิทยา) มาเป็นผู้ดำเนินการจัดการศึกษาของโรงเรียนเปิดใหม่ พร้อมทั้งขอยืมครูจากโรงเรียนต่าง ๆ ในอำเภอบางเขน จำนวน ๑๐ คน มาช่วยราชการ

วันที่ ๑ กันยายน ๒๕๒๐ ได้ย้ายนักเรียนจากโรงเรียนวัดดอนเมือง (ทหารอากาศบำรุง) มาทำการสอนที่โรงเรียนประชาอุทิศ (จันทาบอนุสรณ์) และเปิดทำการสอนมาจนถึงปัจจุบันนี้

วันที่ ๒๖ กันยายน ๒๕๕๑ ได้รับมอบที่ดินจากกรุงเทพมหานคร โดยการจัดซื้อจาก นายสมบุญ จันทาบ (ผู้จัดการมรดกของ นางเกิด จันทาบ) งบประมาณ ๙ ล้านบาท เนื้อที่ ๒ ไร่ ๑ งาน ๖๑ ตารางวา ปัจจุบันก่อสร้างอาคาร 5 ชั้นและอาคารอเนกประสงค์แล้วเสร็จ เมื่อเดือนตุลาคม ปี ๒๕๕๙



ข้อมูลพื้นฐานโรงเรียน

โรงเรียนประชาอุทิศเป็นโรงเรียนขนาดใหญ่พิเศษ เปิดทำการสอนตั้งแต่ระดับชั้นอนุบาลถึงระดับมัธยมศึกษาปีที่ ๓ รับนักเรียนทั่วไป และเป็นโรงเรียนเรียนร่วมเพียงโรงเรียนเดียวในสังกัดสำนักงานเขต ดอนเมือง รับนักเรียนที่มีความบกพร่องทางสติปัญญา ระดับเชาวน์ปัญญาไม่ต่ำกว่า ๕๐ และเป็นโรงเรียนในโครงการโรงเรียนสหกิจตามข้อตกลงความร่วมมือร่วมกันระหว่างกรุงเทพมหานครและกระทรวงศึกษาธิการ โดยเป็นโรงเรียนพี่โรงเรียนน้องกับโรงเรียนมัธยมสีกัน (วัฒนานันทน์อนุสรณ์)



ลักษณะ/สภาพของชุมชน

เขตดอนเมืองเป็นเขตพื้นที่หนึ่งในกรุงเทพมหานคร มีพื้นที่ 36.803 ตร.กม. ประชากร 166,635 คน (พ.ศ. 2555) ความหนาแน่น 4,527.76 คน/ตร.กม.(ศูนย์ข้อมูลเศรษฐกิจการคลังและการลงทุนของกรุงเทพมหานคร) พื้นที่เขตดอนเมือง ถูกจัดแบ่งเป็นประเภทชุมชนในพื้นที่กรุงเทพเหนือ ประกอบด้วยชุมชนแออัด ๑๕ ชุมชน ชุมชนหมู่บ้านจัดสรร ๖๐ ชุมชน ชุมชนชานเมือง ๓ ชุมชน ชุมชนเมือง 2 ชุมชน ชุมชนริมคลองเปรมประชากร จำนวน ๑๑ ชุมชน รวม ๙๑ ชุมชน จากสภาชุมชนในเขตพื้นที่ดอนเมืองจะเห็นว่ามีการเพิ่มความหนาแน่นของหลังคาเรือนมากขึ้นและจะเปลี่ยนสภาพจากประเภทชุมชนเมืองไปสู่ชุมชนแออัดต่อไป ก่อให้เกิดปัญหาเรื่องที่อยู่อาศัย ซึ่งปัญหานั้นก็คือ ความมั่นคงในที่อยู่อาศัย อันมีผลกระทบในปัญหาตามมา คือ ขยะ คุณภาพชีวิต และความร่วมมือของประชาชนในชุมชน ที่สำคัญในด้านการศึกษาและลักษณะอาชีพเป็นผลพวงจากการเกิดชุมชนแออัดในเขตพื้นที่ดอนเมืองทั้งสิ้น ชุมชนรอบๆ บริเวณโรงเรียน เป็นชุมชนขยาย มีหมู่บ้านเกิดขึ้นจำนวนมาก การจราจรติดขัดในเวลาเร่งด่วน



แหล่งเรียนรู้ในชุมชน

แหล่งเรียนรู้ในเขตดอนเมือง และรอบๆชุมชน มีหลายแห่ง ทั้งสถานที่ราชการ และสถานที่เอกชน เช่น วัดดอนเมือง วัดพุทธสยาม วัดเวฬุวนาราม วัดพรหมรังษี การท่าอากาศยานแห่งประเทศไทย สถานีตำรวจ สำนักงานเขตหลักสี่ ที่ทำการไปรษณีย์ กรมการสื่อสารทหาร กองบัญชาการทหารสูงสุด สถานีรถไฟ ค่ายลูกเสือกรุงเทพมหานคร(พิศลยบุตร)ศูนย์ส่งเสริมสถานภาพสตรี ศูนย์เยาวชนเขตดอนเมือง ธนาคารต่าง ๆอนุสรณ์สถาน สวนสมเด็จฯ ร้านผลิตแหนมสุนิษา ซึ่งเป็นสินค้า OTOP ของเขตดอนเมือง เป็นต้น



โอกาสของสถานศึกษากับความร่วมมือในด้านต่าง ๆ ของชุมชน

ตามพระราชบัญญัติการศึกษาแห่งชาติ พ.ศ.2542 และแนวทางของหลักสูตรสถานศึกษาขั้นพื้นฐาน ทำให้โรงเรียนมีโอกาสในการบริหาร และดำเนินงานโดยใช้โรงเรียนเป็นฐาน (School Base Management) มีการกระจายอำนาจ และให้ทุกฝ่าย ประกอบด้วย5 หน่วยงานประสานสัมพันธ์ คือ โรงเรียน บ้าน(ผู้ปกครอง) วัด ชุมชน หน่วยงาน/สถาบันต่าง ๆ มีส่วนร่วมในการวางแผนดำเนินงาน ซึ่งส่งผลต่อความร่วมมือระหว่างโรงเรียนและชุมชนในการพัฒนาการจัดการศึกษา และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่นเป็นอย่างดี



ข้อจำกัดของสถานศึกษากับความร่วมมือของชุมชน

1.สภาพเศรษฐกิจ และสังคมในปัจจุบันที่มีความเจริญทางด้านวัตถุ และสิ่งยั่วยุต่างๆ เข้ามา รอบๆ ชุมชน ทำให้มีผลกระทบต่อการพัฒนาเยาวชนเป็นอย่างมาก ทั้งด้านร่างกาย สติปัญญา อารมณ์ รวมทั้งค่านิยมและแนวทางการดำเนินชีวิต

2.ชุมชนและผู้ปกครองไม่มีเวลาให้แก่นักเรียนอย่างเต็มที่ เพราะส่วนใหญ่ต้องประกอบอาชีพทั้งสองฝ่ายคือ บิดามารดา นักเรียนส่วนใหญ่จึงอยู่กับญาติผู้ใหญ่หรืออยู่กันตามลำพัง การมีส่วนร่วมในการศึกษาจึงมีข้อจำกัดด้านเวลาของผู้ปกครองเป็นอย่างมากแต่โรงเรียนแก้ไขโดยใช้การสื่อสารผ่านทางด้านเอกสารแจ้งและขอความคิดเห็นจากผู้ปกครอง